แบบเหล็กและแบบไม้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแง่ของวัสดุที่ใช้ ความแข็งแรงทนทาน การนำกลับมาใช้ซ้ำได้ และความคุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งส่งผลต่อการเลือกใช้งานในโครงการก่อสร้างแต่ละประเภท
แบบเหล็กเป็นแบบหล่อคอนกรีตที่ทำจากเหล็กแผ่นและโครงเหล็ก มีความแข็งแรงสูงและใช้งานได้หลากหลาย
ข้อดี:
ความแข็งแรงและทนทานสูง: สามารถรับน้ำหนักคอนกรีตได้มากและไม่บิดงอ ทำให้ได้ผิวคอนกรีตที่เรียบเนียนและได้รูปทรงตามที่ต้องการ
นำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายครั้ง: สามารถใช้งานได้หลายร้อยครั้งหากดูแลรักษาดี ทำให้ประหยัดต้นทุนในระยะยาวเมื่อใช้กับโครงการขนาดใหญ่
ติดตั้งและรื้อถอนได้รวดเร็ว: มาในรูปแบบสำเร็จรูป ทำให้ทำงานได้เร็ว
เหมาะกับงานขนาดใหญ่: นิยมใช้ในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น อาคารสูง สะพาน หรือเขื่อน
ข้อเสีย:
น้ำหนักมาก: ทำให้ขนย้ายและติดตั้งยากกว่าแบบไม้ และอาจต้องใช้เครื่องจักรช่วยยก
ต้นทุนเริ่มต้นสูง: ราคาต่อหน่วยแพงกว่าแบบไม้
เกิดสนิมได้: หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม เช่น การทาน้ำยาหรือการเก็บในที่แห้ง
แบบไม้เป็นแบบหล่อคอนกรีตที่ทำจากไม้เบญจพรรณหรือไม้อัด มักใช้ในงานก่อสร้างขนาดเล็กหรืองานที่มีรูปทรงซับซ้อน
ข้อดี:
น้ำหนักเบาและราคาถูก: ทำให้ขนส่งและเคลื่อนย้ายได้ง่าย
มีความยืดหยุ่นสูง: สามารถตัด, ตอก, และปรับเปลี่ยนรูปทรงให้เข้ากับโครงสร้างที่ซับซ้อนได้ง่าย
เหมาะกับงานขนาดเล็ก: นิยมใช้ในโครงการสร้างบ้านหรืออาคารขนาดเล็ก
ข้อเสีย:
อายุการใช้งานสั้น: สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้น้อยครั้ง (ประมาณ 3-5 ครั้ง) ขึ้นอยู่กับสภาพ
ความแข็งแรงน้อยกว่า: อาจบิดเบี้ยวหรือแตกร้าวได้ง่ายเมื่อต้องรับน้ำหนักมาก ทำให้ผิวคอนกรีตอาจไม่เรียบเนียน
สูญเสียวัสดุ: มีเศษไม้เหลือจากการตัดเยอะ
คุณสมบัติ | แบบเหล็ก | แบบไม้ |
ความแข็งแรง | สูงมาก | ต่ำกว่า |
อายุการใช้งาน | ยาวนาน (ใช้ซ้ำได้หลายร้อยครั้ง) | สั้น (ใช้ซ้ำได้น้อยครั้ง) |
ต้นทุน | ต้นทุนเริ่มต้นสูง แต่คุ้มค่าในระยะยาว | ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ แต่สิ้นเปลืองเมื่อใช้หลายครั้ง |
น้ำหนัก | หนัก | เบา |
การใช้งาน | เหมาะกับงานขนาดใหญ่และงานซ้ำๆ | เหมาะกับงานขนาดเล็ก งานที่มีรูปทรงซับซ้อน |
ผิวคอนกรีต | เรียบเนียน | อาจไม่เรียบเนียนเท่า |
การดูแลรักษา | ต้องป้องกันสนิม | อาจผุเปื่อยหรือบิดตัวได้ง่าย |